Systemic arterial blood pressure
ความดันโลหิตจากหลอดเลือดแดง (Systemic arterial blood pressure) เราสามารถวัดได้จากการบีบตัวของหัวใจ หรือจากการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือด และรวมถึงการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดตามกล้ามเนื้อ
ความดันโลหิตจะทำหน้าที่ส่งออกซิเจนไปพร้อมกับเลือดเพื่อไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งเราสามารถวัด และตรวจสอบค่าความดันเลือดในสัตว์ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคทางหัวใจ หลอดเลือด เพื่อประเมินสภาพ และสามารถกำหนดแนวทางการรักษาได้
Arterial circulatory system of the dog
การตรวจวัดความดันโลหิตเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัย และการรักษาของสัตว์เล็ก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่พยาบาลสัตว์จะต้องมีความรู้ในการตรวจวัดความดันโลหิต เพื่อช่วยในการรักษา โดยจะต้องเรียนรู้ถึง
- ทักษะ และเทคนิคในการประเมินความดันโลหิตได้อย่างถูกต้อง
- มีความเข้าใจข้อดี และข้อเสียของเทคนิคการในการตรวจวัดความดันโลหิต จากวิธีการตรวจแต่ละวิธีที่แตกต่างกัน
- จำ และรู้ค่าที่ผิดปกติ และสามารถทำความเข้าใจกับค่าที่ผิดปกติ และแก้ปัญหาได้
- ในกรณีของเจ้าหน้าที่พยาบาลควรรู้ว่าเมื่อใดที่ค่าผิดปกติ ควรจะแจ้งเตือนแพทย์ที่เป็นเจ้าของเคส เพื่อทำการรักษา
บทความชุดนี้กล่าวถึงรายละเอียดทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการวัดความดันโลหิต รวมถึงค่าความดันโลหิตปกติสำหรับสัตว์เล็ก และสิ่งที่บ่งชี้ถึงความดันโลหิตที่ผิดปกติในสัตว์เล็ก
คำจำกัดความของความดันโลหิต
ค่าความดันโลหิต ค่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อหัวใจห้องล้างซ้าย (Left ventricle) ทำการบีบตัว เลือดที่อยู่ในหัวใจห้องล้างซ้ายนี้จะถูกดันเข้าสู้หลอดเลือดแดงใหญ่ (Arota) ทำให้เกิดความดันโลหิตที่เรียกว่า Systolic arterial pressure (SAP) หลังจากนั้นหัวในห้องล่างซ้ายก็จะทำการคลายตัวเพื่อเติมเลือดเข้ามาให้ห้อง และทำการบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปอีกครั้ง ช่วงที่หัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัวความดันโลหิตจะลดลงทำให้เกิดความดันโลหิตที่เรียกว่า Diastolic arterial pressure (DAP) ซึ่งค่าเฉลี่ยความดันโลหิต หรือ Mean arterial pressure (MAP) สามารถคำนวณได้จากค่า SAP และ DAP ตามสูตร MAP = DAP + 1/3 (SAP – DAP)
วิธีการตรวจวัดค่าความดันโลหิต
ความดันโลหิตสามารถทำการวัดได้ 2 วิธี คือ
1. การตรวจวัดความดันโลหิตโดยตรง (Direct arterial blood pressure monitoring) เป็นการวัดความดันโลหิตที่ถือว่าเป็นมาตรฐาน และถูกต้องแม่นยำ โดยจะใช้ Arterial Catheter สอดเข้าเส้นเลือดแดง และต่อกับอุปกรณ์วัดความดัน เช่น Aneroid Manometer หรือตัวแปลงสัญญาณ (Transducer) โดยสามารถวัดได้ทั้งค่า SAP, DAP และ MAP (รูปที่ 1)
รูปที่ 1 : แสดงการวัดความดันโลหิตโดยตรง โดยใช้ Arterial Catheter สอดเข้าไปยัง Dorsal Pedal Artery จากนั้น Catheter จะต่อเข้ากับ Pressure Transducer ซึ่งจะมีถุงลมคอยรักษาความดันในระบบไว้ให้มากกว่าความดันเลือด SAP
2. การตรวจวัดความดันโลหิตทางอ้อม (Indirect arterial blood pressure monitoring) เป็นการวัดความดันโลหิต โดยอาศัยการตรวจจับการไหลของเลือด หรือการเคลื่อนไหวของผนังหลอดเลือดในหลอดเลือดแดงส่วนปลาย โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Doppler (รูปที่ 2) หรือ Oscillometer
รูปที่ 2 : แสดงการวัดความดันโลหิต โดยใช้เครื่อง Doppler
การวัดความดันโลหิตจำเป็นในกรณีใดบ้าง
การวัดความดันโลหิตจำเป็นในกรณีดังนี้
- ในระหว่างการดมยาสลบสัตว์ เมื่อทางสัตวแพทย์ประเมินได้ว่าสัตว์ที่วางยาจะมีผลต่อระบบหัวใจ และหลอดเลือด จากการได้รับผลกระทบของยาชา หรือยาสลบ ขณะที่ทำการผ่าตัด
- ในภาวะฉุกเฉิน หรือภาวะวิกฤตของสัตว์ ที่จะส่งผลให้ระบบหัวใน และหลอดเลือดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
- ในทางการรักษาทั่วไป เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่าสัตว์ในสภาวะนั้นมีความดันโลหิตปกติ หรือไม่
- ในสัตว์ป่วยที่ทางสัตวแพทย์สงสัยว่า สัตว์ป่วยนั้นมีภาวะความดันสูง (Hypertension) หรือ ความดันต่ำ (Hypotension) ซึ่งเกิดจากโรค หรือภาวะผิดปกติต่าง ๆ
ค่าความดันโลหิตปกติ
ค่าความดันโลหิตปกติในสัตว์ เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญ ซึ่งจะแสดงถึงสถานะการทำงานของระบบหัวใจ หลอดเลือด ในสภาวะปกติของสัตว์ และสามารถนำไปชี้แจงอ้างอิงเปรียบเทียบกับค่าความดันโลหิตของสัตว์ในสภาวะผิดปกติได้ ดังตารางด้านล่างนี้แสดงค่าความดันโลหิตปกติในสุนัข และแมว
ภาวะความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
ภาวะความดันโลหิตต่ำ จะแสดงให้เห็นถึงค่าความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ โดยภาวะความดันโลหิตต่ำจะส่งผลให้เลือดที่ถูกบีบตัวจากหัวใจส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อน้อยลง และอาจส่งผลให้อวัยวะที่สำคัญขาดเลือดได้ สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำแสดงได้ดังตาราง
- การวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตต่ำ
การวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตต่ำสามารถสังเกตได้จากสภาวะ ณ ปัจจุบันของสัตว์ป่วย หรือทำการวัดความดันโลหิต
โดยในสุนัข และแมว สามารถใช้ค่า MAP หรือค่า SAP เป็นค่าในการวินิจฉัยว่าสัตว์ป่วย ณ ขณะนั้นอยู่ในภาวะความดันโลหิตต่ำ หรือไม่ โดยสัตว์ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำนั้นจะมีค่า MAP < 60 mm Hg และ/หรือค่า SAP < 90 ถึง 100 mm Hg
การวัด และอ่านความดันโลหิตของสัตว์ป่วยที่อยู่ในภาวะความดันโลหิตต่ำ ควรจะทำการวัดค่า และติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงสัตวแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่พยาบาลต้องสังเกตอาการของสัตว์ป่วย ณ ขณะนั้นควบคู่ไปด้วย
- การเฝ้าระวังสัตว์ป่วยที่อยู่ในภาวะความดันโลหิตต่ำ
สัตว์ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำควรจะทำการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และตรวจเช็คสภาวะของระบบหัวใจ และหลอดเลือดอย่างน้อยทุก ๆ 30 นาที. เพื่อประเมินว่าการรักษา ณ ขณะได้ผลดี หรือจำเป็นต้องทำการรักษาอย่างอื่นเพิ่มเติมถ้าจำเป็น
สิ่งสำคัญที่ต้องระลึกถึงเสมอคือ สภาวะของระบบหัวใจ และหลอดเลือดของสัตว์ป่วยสามารถ
ทำงานลดลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าค่า MAP ลดลงต่ำกว่า 65 mm Hg จะส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อที่ไตลดลง ทำให้สัตว์ป่วยมีภาวะปัสสาวะลดลงตามมา เพราะจากการที่เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง
ภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ภาวะความดันโลหิตสูงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ภาวะความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิ กับ ภาวะความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ
- ภาวะความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิ (Primary Hypertension) เป็นภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการเต้นของหัวใจ และความต้านทานในหลอดเลือด โดยไม่สามารถทราบสาเหตุที่แท้จริงได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า Idiopathic Hypertension ซึ่งพบได้ยากในสัตว์เล็ก โดยการวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตสูงในกลุ่มนี้จะทำโดยการตรวจวัด และอ่านค่าความดันโลหิตที่แสดงถึงความดันโลหิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการตรวจวัดจำนวนเม็ดเลือดที่ , ค่าชีวะเคมีของเลือด และซีรั่ม รวมถึงการตรวจปัสสาวะ
- ภาวะความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ (Secondary Hypertension) เป็นภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดแทรกซ้อนจากการที่สัตว์ป่วยเป็นโรค ซึ่งโรคที่ส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิแสดงได้ดังตาราง
หรือสามารถเกิดขึ้นได้จากการที่สัตว์ป่วยได้รับการรักษาจากยาในกลุ่ม Glucocorticoids, Mineralocorticoids, Erythropoietin, Sodium Chloride, Phenylpropanolamine และกลุ่มยาต้านการอักเสบที่เป็น Nonsteroidal
การวินิจฉัยสัตว์ป่วยในภาวะความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องทำการวัดความดันโลหิต โดยวัด 3 ครั้ง ในแต่ละครั้งที่มีการตรวจวินิจฉัย ซึ่งค่าที่ได้ทั้ง 3 ครั้งจะต้องสอดคล้องกัน โดยค่าความดันโลหิตสูงในสุนัข และแมว คือ สุนัข SAP / DAP> 150/95 mm Hg และแมว: SAP> 150 mm Hg
สัตว์ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตา, หู, สมอง และไต ซึ่งภาวะฉุกเฉินจากความดันโลหิตสูงจะเกิดขึ้นเมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นจนทำลายอวัยวะ หรือหลอดเลือดต่าง ๆ เช่น เลือดออกในสมอง ส่งผลให้เกิดอาการทางประสาท หรือเลือดออกในตา ส่งผลให้เกิดอาการตาบอด เป็นต้น
การเฝ้าระวังสัตว์ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง จำเป็นที่สัตว์ป่วยจะต้องทำการตรวจวัด และอ่านค่าความดันโลหิตอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
การคำนวน การวัด และการอ่านค่าความดันโลหิตอย่างถูกต้อง
สถานการณ์ต่าง ๆ ในขณะที่ทำการวัดความดันโลหิตสัตว์ป่วย ไม่ว่าจะเป็นความเครียด และความวิตกกังวลทั้งของตัวสัตว์ป่วย สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่พยาบาล รวมถึงความเร่งรีบในระหว่างการตรวจรักษา หรือการใช้เครื่องมือเพื่อทำการตรวจวัดค่าความดันโลหิตอย่างผิดวิธี อาจจะส่งผลให้ผลการตรวจความดันที่ได้ออกมามีค่าความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าความเป็นจริง ซึ่งทำให้การวินิจฉัยผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้นควรที่จะดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อให้ผลที่ได้จากการวัดค่าความดันโลหิตถูกต้อง และแม่นยำ
1. ก่อนการวัดความดันโลหิตสัตว์ป่วย ตัวสัตว์ควรอยู่ภายในห้องตรวจที่เงียบสงบก่อนทำการตรวจ 5 – 10 นาที
2. การวัดความดันโลหิตจะทำได้หลังจากที่สัตว์ป่วยมีสภาวะที่สงบพร้อมจะทำการตรวจได้แล้ว
3. ควรบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจร่วมด้วยในขณะที่ทำการวัดความดันโลหิต ในกรณีที่สัตว์ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงจากอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น (Tachycardia) จะพิจารณาว่าสัตว์ป่วยนั้นมีภาวะความดันโลหิตสูงแบบ White coat hypertension
การลดความผิดพลาดจากการวินิจฉัยความดันโลหิตสูงในสัตว์ป่วย หรือสัตว์ที่ตื่นกลัว ควรจะต้องพิจารณาถึงสภาวะการตอบสนองของสัตว์ป่วย ณ ขณะที่ทำการตรวจร่วมด้วย ซึ่งต้องอาศัยความละเอียดอ่อน และความอดทนของทั้งสัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่พยาบาล การลดความผิดพลาดจากการตรวจวัดความดันโลหิตสามารถทำได้ดังนี้
- จัดหาสถานที่ และสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เงียบสงบ และสะดวกสบาย และพูดคุยกับสัตว์ป่วย เพื่อให้สัตว์ป่วยรู้สึกสบายใจ และไว้วางใจ
- นำสัตว์ป่วยเข้าไปในห้องที่เงียบ อาจจะใช้กรง หรือกล่อง หรือกระเป่าให้สัตว์ป่วยเข้าไปอยู่ เพื่อให้รู้สึกสบายใจ (โดยเฉพาะแมว) หรืออาจจะมีของเล่นสำหรับสุนัขให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนทำการตรวจ
- ในกรณีที่สามารถทำการวัดความดันโลหิตได้แล้วให้ทำการวัดความดันโลหิตต่อไปจนครบ 3 ครั้งเพื่อดูค่าเฉลี่ย จากนั้นพิจารณาการทำการตรวจวัดความดันโลหิตซ้ำในภายหลังเมื่อสัตว์ป่วยผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว
บทความโดย
น.สพ. พุทธาพงศ์ เกียรติธรรมลาภ
ข้อมูลอ้างอิง
ภาพประกอบ
https://www.baanlaesuan.com/161934/pets/health/systemic-hypertension/2
Share this entry